วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

“ภูเก็ต-กรุงเทพฯ” ติดโผท็อป 5 สถานที่ท่องเที่ยวในฝันของ “ชาวจีน”



ทริปแอดไวเซอร์เว็บไซต์สำหรับนักท่องเที่ยวชื่อดังสัญชาติอเมริกันระบุ นักท่องเที่ยวชาวจีนกำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวในต่างแดนมากขึ้นเรื่อยๆ และจุดหมายปลายทางซึ่งพวกเขาระบุว่าใฝ่ฝันที่จะมาเยี่ยมชม ภูเก็ต-กรุงเทพฯติดโผท็อป 5
       
       ทริปแอดไวเซอร์กล่าวว่า ข้อมูลจากการสืบค้นของลูกค้าชี้ให้เห็นว่า ผู้คนจากจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงรักการเดินทางไปดินแดนใกล้เคียงอย่างฮ่องกง และมาเก๊า เพื่อไปเปลี่ยนบรรยากาศและชอปปิ้ง แต่สำหรับวันหยุดติดต่อกันหลายวัน พวกเขาจะเลือกสิ่งที่ดูท้าทายมากขึ้นด้วยการท่องเที่ยวในทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ
       
       “นักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่เริ่มตัดสินใจว่าจะเดินทางไปประเทศอะไร พักที่ไหน และทำกิจกรรมแบบไหน ด้วยการค้นคว้าผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยตนเอง เป็นการก้าวข้ามการท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ ที่ต้องไปไหนมาไหนด้วยรถบัส ซึ่งชาวจีนมักถูกเหมารวมว่าจะต้องทำแบบนั้น
       
       ฮ่องกงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม โดยมีชาวจีนให้ความสนใจเพิ่มขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงเวลาเดียวกันนี้ในปี 2012 ทริปแอดไวเซอร์ระบุ
       
       หาดภูเก็ต ของไทย ได้รับความนิยมเป็นอันดับสอง โดยมีชาวจีนสืบค้นข้อมูลมากกว่าในปีที่แล้ว 3.5 เท่า ขณะที่ไต้หวันตามมาเป็นอันดับ 3 (แถมยังเพิ่มขึ้น 4.5 เท่าทีเดียว) กรุงเทพมหานคร อันดับ 4 (เพิ่มขึ้น 3.7 เท่า) และปารีส อันดับ 5 (เพิ่มขึ้น 4.6 เท่า)
       
       สำหรับสถานที่อื่นๆ ที่ชาวจีนอยากไปเที่ยวเป็น 20 อันดับแรกยังมีดังเช่น ดูไบ โซล สิงคโปร์ เกาะบาหลีของอินโดนีเซีย โรม นิวยอร์ก และลอนดอน
       
       ส่วนจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมากที่สุด 4 แห่ง โดยมีผู้สืบค้นข้อมูลเพิ่มจากปีที่แล้วถึง 6 เท่า คือ เกาะเจจู ในเกาหลีใต้ จังหวัดเกียวโต ของญี่ปุ่น เมืองโกตากินาบาลู ในมาเลเซีย และฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม
       
       ขณะที่การใช้จ่ายเงินเพื่อการท่องเที่ยวกำลังเติบโตขึ้นทั่วโลก แต่นักท่องเที่ยวชาวจีนคือผู้บริโภคที่ใช้จ่ายอย่างใจป้ำมากที่สุด และเป็นตลาดเป้าหมายใหญ่ของเจ้าของกิจการโรงแรม ร้านค้า และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
       
       นักวิเคราะห์ของบาร์เคลย์ชี้ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า อัตราการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนได้เพิ่มขึ้น 22 เปอร์เซ็นต์ในช่วงไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบช่วง 3 เดือนแรกของปีที่เพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวทั่วโลกเติบโตขึ้น 14 เปอร์เซ็นต์
       
       เมื่อปี 2012 ชาวจีนกว่า 83 ล้านคนพากันเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าภายในปี 2020 ตัวเลขจะทะยานขึ้นสู่ 200 ล้านคน นอกจากนั้น การใช้จ่ายเงินเพื่อการเดินทางในต่างแดนของชาวจีนในปี 2012 นั้นยังถือว่าสูงที่สุดในโลกคือ 1.02 แสนล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลขององค์การการท่องเที่ยวโลก ขององค์การสหประชาชาติ
       
       อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเม็ดเงินนี้จะน่าดึงดูดใจ แต่พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวจีน เป็นต้นว่า การขากเสมหะ การส่งเสียงดังในที่สาธารณะ และการขีดเขียนชื่อตนเองทิ้งไว้ตามอนุสาวรีย์ต่างๆ ทำให้ชาวต่างชาติต่างรู้สึกขุ่นเคืองใจ อีกทั้งทำให้คนจีนเองรู้สึกขยะแขยง และพากันวิพากษ์วิจารณ์
       
       ความรู้สึกอับอายเพราะพฤติกรรมแย่ๆ เหล่านี้ได้กระตุ้นให้บรรดาสมาชิกอาวุโสของรัฐบาลจีนออกมากล่าวตำหนิ เนื่องจากรัฐบาลต้องการจะสร้างภาพลักษณ์ของชาวจีนว่าเป็นคนอ่อนโยน และมีวัฒนธรรม อันแสดงถึงพลังแห่งความมั่งคั่งจนทำให้ชาติอื่นๆ ต้องการลงทุนด้วย


ข้อมูลจาก.. ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

นิด้า จัดเสวนา “ท่องเที่ยวภูเก็ต..สู่ความยั่งยืน..ทำอย่างไร”



                เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 17 ก.ย.56 ที่โรงแรมรอยัลภูเก็ตซิตี้ จังหวัดภูเก็ต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) จัดเสวนาหัวข้อ ท่องเที่ยวภูเก็ต..สู่ความยั่งยืน..ทำอย่างไร”         โดยมี ดร.รักษ์พงศ์ วงศาโรจน์ จากนิด้า เป็นผู้ดำเนินการ ได้รับเกียรติจาก ดร.สมหมาย ปรีชาศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดการสัมมนา ร่วมด้วย นายวิจิตร ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษาอาวุโสสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายภราเดช พยัฆวิเชียร อดีตสมาชิกวุฒสภาและอดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายชวาธิป จินดาวิจักษณ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายบริการด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ นายทรงสิทธิ์ บุญผล ประธานเครือข่ายการท่องเที่ยวชุมชนจังหวัดภูเก็ต ร่วมเป็นวิทยากรเสวนาในหัวข้อดังกล่าว และร่วมด้วยเครือข่ายท่องเที่ยวชุมชนฯ ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรม มัคคุเทศก์ หน่วยงานภาครัฐ เอกชน ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้สนใจทั่วไป กว่า 200 คน


                ทั้งนี้การจัดเสวนาดังกล่าว สืบเนื่องคณะการจัดการท่องเที่ยว สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และคณะบริการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต ได้รับมอบหมายจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้ดำเนินการวิจัยภายใต้แผนการวิจัย กลยุทธ์ขับเคลื่อนคลัสเตอร์การท่องเที่ยวแบบมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน : กรณีศึกษาจังหวัดภูเก็ตโดยมีอาจารย์ ดร.รักษ์พงศ์ วงศ์โรจน์ เป็นผู้อำนวยการแผนการวิจัย


                สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการวิจัยดังกล่าว ซึ่งเนื้อหาหลักของสัมมนาเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่การวิจัยและรับฟังความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตในด้านการขับเคลื่อนการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตได้เป็นอย่างดี


                ดร.สมหมาย ปรีชาศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีความสำคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยและจังหวัดภูเก็ตสูงมากในหลายมิติ เช่นเป็นภาคเศรษฐกิจที่นำรายได้เข้าประเทศ เป็นแหล่งจ้างงานที่สำคัญในภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเป็นภาคเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการ ขนาดกลางและย่อม เป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญที่สร้างอุปสงค์เชื่อมโยงไปยังอุตสาหกรรมสนับสนุนต่างๆ เป็นกลไกส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาของท้องถิ่นเป็นอย่างมาก เป็นต้น ซึ่งแนวโน้มการขยายตัวของอุปสงค์การท่องเที่ยวโดยรวมและในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ย่อมเป็นผลบวกต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดภูเก็ตและประเทศไทย
                กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจในการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวสูงมาก โดยภูเก็ตเป็นจังหวัดที่สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว เป็นลำดับที่สองของประเทศรองจากกรุงเทพฯ โดยในปี 2555 สามารถทำรายได้ให้กับประเทศจำนวน 248,000 ล้านบาท และเป็นจังหวัดที่มีระดับรายจ่ายต่อหัวนักท่องเที่ยวสูงที่สุดในประเทศไทย ยุทธศาสตร์การพัฒนาของประเทศจึงได้วางตำแหน่งให้ภูเก็ตและกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก
                ดร.สมหมาย กล่าวอีกว่า ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาการพัฒนาของจังหวัดภูเก็ตได้เปลี่ยนผ่านจากการพึ่งพิงอุตสาหกรรมเหมืองแร่สู่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ การเติบโตของปริมาณนักท่องเที่ยวในอัตราที่สูงมาก บนฐานทรัพยากรทางธรรมชาติและทรัพยากรสาธารณูปโภคอื่นๆ ที่มีจำกัด  การขยายตัวของปริมาณนักท่องเที่ยวในอัตราที่สูงอย่างต่อเนื่อง เป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดึงดูดให้เกิดการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการมากขึ้นจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติตามกระแสโลกาวิวัฒน์ ซึ่งการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนับเป็นสิ่งท้าทายต่อการจัดการการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตเป็นอย่างมาก
                คณะผู้บริหารส่วนราชการจังหวัดภูเก็ต มีนโยบายในการส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต เพื่อพัฒนาภูเก็ตสู่เมืองท่องเที่ยวคุณภาพระดับโลก โดยมุ่งเน้นในการพัฒนาของอุตสาหกรรมเป็นไปตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งมีความสมดุลของการพัฒนาทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ชุมชนและสังคมต่างได้รับประโยชน์จากการพัฒนาดังกล่าวอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ตามวิสัยทัศน์ของจังหวัดภูเก็ต ภูเก็ตเมืองท่องเที่ยวนานาชาติ บนพื้นฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน
                แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ตอบสนองต่อความต้องการของทั้งนักท่องเที่ยวและผู้อยู่อาศัยในพื้นที่นั้น โดยมีการป้องกันผลกระทบทางลบพร้อมกับการรักษาและเพิ่มศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของพื้นที่นั้นในอนาคตด้วย ซึ่งแนวทางการพัฒนาข้างต้นจำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนักท่องเที่ยว มัคคุเทศก์ ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจบริการท่องเที่ยวต่างๆ  หน่วยงานภาครัฐทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น และชุมชน ดังนั้นการขับเคลื่อนการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจึงต้องเริ่มด้วยการสร้างความตระหนัก ความรู้ความเข้าใจ และบ่มเพาะขีดความสามารถในการขับเคลื่อนการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนให้กับภาคส่วนต่างๆ ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
                อย่างไรก็ตามการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เป็นเป้าหมายที่เราทุกคนมีอยู่ร่วมกันและจะร่วมกันขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวด้วยกัน ดร.สมหมาย กล่าวในที่สุด

รายงานโดย...ชำนาญ ณ อันดามัน / นสพ.พลังชน ศูนย์ข่าวภาคใต้


วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

ตร.ท่องเที่ยวขานรับ “ไฮซีซันภูเก็ต” ผุดรถบริการรักษาความปลอดภัย



กรมการท่องเที่ยวจับมือตำรวจท่องเที่ยว เปิดตัวโครงการ “Thailand Tourist Police Road Show 2013” เตรียมให้บริการรักษาความปลอดภัยรองรับนักท่องเที่ยวช่วงไฮซีซันที่จะถึง พร้อมเปิดตัวรถประชาสัมพันธ์ตำรวจเคลื่อนที่ ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวตลอด 24 ชั่วโมง
      
       เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 14 ก.ย.56 ที่บริเวณซอยบางลา หาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รองผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว เป็นประธานในพิธีเปิดตัวโครงการ “Thailand Tourist Police Road Show 2013” พร้อมเปิดตัวรถประชาสัมพันธ์ตำรวจเคลื่อนที่ให้บริการช่วยเหลือนักท่องเที่ยว ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมี พ.ต.ต.อุรัมพร ขุนเดชสัมฤทธิ์ สารวัตรตำรวจท่องเที่ยว 2 กองบังคับการ สถานีตำรวจท่องเที่ยวภูเก็ต เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว และอาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยว เข้าร่วมในพิธีเปิด
      
       พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รองผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว กล่าวว่า จากวิสัยทัศน์ของตำรวจท่องเที่ยว ที่มุ่งพัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ความปลอดภัย ความเชื่อมั่น เพื่อเข้าถึงนักท่องเที่ยวในทุกๆ พื้นที่ของประเทศ ทำให้มีการพัฒนาบทบาท และหน้าที่ในหลายๆ ด้านมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงการ Tourist Buddy Application เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถขอความช่วยเหลือจากตำรวจท่องเที่ยวได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่าน Application บนสมาร์ทโฟน การพัฒนาบริการของสายตรวจตำรวจท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และธรรมชาติ เช่น พื้นที่เมืองเก่าอยุธยา พื้นที่ท่องเที่ยวกาญจนบุรี พื้นที่รอบคูเมืองเชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่งเป็นไปตามที่ตำรวจสายตรวจในประเทศที่เน้นการท่องเที่ยวปฏิบัติกัน ตลอดจนการเพิ่มศักยภาพของบุคลากรในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยว โดยการฝึกอบรมตำรวจท่องเที่ยวให้มีความชำนาญในภาษาต่างประเทศถึง 4 ภาษา ทั้งภาษาจีน ภาษารัสเซีย ภาษาเกาหลี ภาษาญี่ปุ่น และการศึกษาวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยวในแต่ละชาติ เพื่อกระตุ้นให้ตำรวจท่องเที่ยวมีความใกล้ชิด และเข้าถึงความต้องการของนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น
      
       ตำรวจท่องเที่ยวยังคงเดินหน้าจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว โดยล่าสุด ได้ร่วมกับกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดตัวโครงการ “Thailand Tourist Police Road Show 2013” ขึ้นภายใต้แนวคิด “5S” ได้แก่ SMART แต่งกายให้ดูดี SMILE ยิ้มแย้มแจ่มใส SERVE ให้บริการดูแลที่ดี SAFE ดูแลความปลอดภัย SECURE ให้ความอบอุ่น และมั่นใจ
      
       โดยโครงการ “Thailand Tourist Police Road Show 2013” ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการส่งเสริมและสร้างความเชื่อมั่นของการท่องเที่ยวให้ดียิ่งขึ้นในสายตาชาวโลก จะนำร่องเดินสายโรดโชว์ด้วย รถประชาสัมพันธ์ตำรวจเคลื่อนที่ คอยให้ความช่วยเหลือ ให้บริการข้อมูลความรู้ และดูแลความสงบเรียบร้อยให้แก่นักท่องเที่ยว รวมถึงจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่นักท่องเที่ยวตลอด 24 ชั่วโมง ณ 4 เมืองหลัก ได้แก่ ภูเก็ต พัทยา หัวหิน และอยุธยา ตลอดเดือนกันยายน ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย มุ่งหวังให้ปัญหานักท่องเที่ยวถูกหลอกลวงลดน้อยลง ตลอดจนกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวไทยให้ขยายตัวสูงสุดในช่วงไฮซีซันที่กำลังจะมาถึง และกระตุ้นให้ประชาชนชาวไทยรู้สึกตระหนักถึงหน้าที่ความรับผิดชอบต่อนักท่องเที่ยวในฐานะเจ้าบ้านมากยิ่งขึ้น
      
       พ.ต.อ.อาชยน กล่าวอีกว่า รถประชาสัมพันธ์ตำรวจเคลื่อนที่ แบ่งการให้บริการของรถออกเป็น 2 ประเภท คือ รถโมบาย และรถเทรลเลอร์ สำหรับรถโมบาย เป็นรถอเนกประสงค์ เหมือน Motor Home มีทั้งหมด 4 คัน ภายในประกอบไปด้วย สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ระบบครัว ห้องอาบน้ำ ที่นั่งปรับเป็นเตียงนอน จอแอลซีดีขนาด 40 นิ้ว เครื่องใช้สำนักงาน เครื่องถ่ายเอกสาร แฟกซ์ และกล้องวงจรปิดรอบคันเพื่อรักษาความปลอดภัย นอกจากนี้ ยังมีระบบการสื่อสาร สามารถประชุมระบบ Video Conference ถ่ายทอดภาพ และเสียงไปยังศูนย์ฯ เพื่อสั่งการปฏิบัติได้
      
       ส่วนรถเทรลเลอร์ มีจำนวน 1 คัน จุดเด่นคือ ภายในตัวรถเพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ได้แก่ เคาน์เตอร์ปฏิบัติหน้าที่สำหรับเจ้าหน้าที่ 2 ท่าน เอกสารแผ่นพับประชาสัมพันธ์ อุปกรณ์สำหรับการประชาสัมพันธ์ทั้งระบบภาพ คือ จอแอลซีดี ขนาด 60 นิ้ว และระบบเสียง อุปกรณ์สืบค้น ข้อมูลดิจิตอล (ไอแพด) และให้บริการ Wi-Fi สำหรับเล่นอินเทอร์เน็ตฟรีภายในรถ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถค้นหาข้อมูลต่างๆ ได้
      
       “รถประชาสัมพันธ์ตำรวจเคลื่อนที่นับเป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ ช่วยให้ประชาชนรู้จักและรับรู้ถึงหน้าที่ความรับผิดชอบของตำรวจท่องเที่ยวในการดูแลนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ทุกคนต้องเข้ามีส่วนร่วมในฐานะเจ้าบ้าน ร่วมเป็นหูเป็นตาให้แก่นักท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความเชื่อมั่น และรู้สึกปลอดภัยเมื่อมาเที่ยวประเทศไทยพ.ต.อ.อาชยน กล่าวในที่สุด


ข้อมูลจาก... ASTV Manager ภาคใต้

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

เจ็ทสตาร์เปิดเส้นทางใหม่ บินตรงเมลเบิร์น – ภูเก็ต



เจ็ทสตาร์ประกาศเปิดเส้นทางบินตรงแบบไม่แวะจอดที่ใดระหว่างเมลเบิร์น - ภูเก็ต พร้อมเพิ่มเที่ยวบินระหว่างเมลเบิร์น - โฮโนลูลู เพื่อเป็นของขวัญสุดพิเศษต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสก่อนใครให้แก่นักท่องเที่ยวจากมลรัฐวิคตอเรีย และต้อนรับการปิดภาคเรียนช่วงซัมเมอร์ของประเทศออสเตรเลีย 
      
       สำหรับเที่ยวบินตรงระหว่างเมลเบิร์น - ภูเก็ตจะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2556 โดยจะให้บริการทุกวันเสาร์และอาทิตย์รวมสัปดาห์ละ 2 เที่ยว และจะขยายเพิ่มอีกสัปดาห์ละ 1 เที่ยวเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2557 เป็นต้นไป*
      
       มร.เดวิด ค็อคซการ์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการพาณิชย์ เจ็ทสตาร์ กรุ๊ป กล่าวว่า เจ็ทสตาร์เป็นสายการบินค่าโดยสารราคาประหยัดรายแรกที่ให้บริการเที่ยวบินตรงระหว่างทั้งสองเมืองดังกล่าว ปัจจุบัน มีผู้โดยสารจำนวนมากที่จองเที่ยวบินที่ต้องแวะจอดที่ซิดนีย์หรือสิงคโปร์เพื่อเดินทางต่อไปยังภูเก็ต ดังนั้น เจ็ทสตาร์จึงเปิดตัวเที่ยวบินตรงระหว่างเมลเบิร์น - ซิดนีย์เพื่อให้บริการแก่ผู้โดยสารชาววิคตอเรียน นอกจากนี้ เจ็ทสตาร์ยังเพิ่มเที่ยวบินระหว่างเมลเบิร์น - โฮโนลูลูอีก 1 เที่ยวต่อสัปดาห์ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวนี้
      
       ทั้งนี้ เจ็ทสตาร์จะเพิ่มเที่ยวบินระหว่างเมลเบิร์น - โฮโนลูลู*จาก 3 เที่ยวต่อสัปดาห์เป็น 4 เที่ยวต่อสัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไป และขยายเที่ยวบินระหว่างเมลเบิร์น - สิงคโปร์*จาก 5 เที่ยวต่อสัปดาห์ เป็น 6 เที่ยวต่อสัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2556
      
       “เที่ยวบินในเส้นทางดังกล่าวทั้งหมดจะใช้ฝูงบินแอร์บัส เอ330 จนถึงเดือนมกราคม ศกหน้า ก่อนปลดระวาง และเปลี่ยนไปใช้ฝูงบินโบอิ้ง 787 ดรีมไลเนอร์ที่ช่วยประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น เพื่อมอบความคุ้มค่าด้วยค่าโดยสารราคาประหยัดให้แก่ผู้โดยสารอย่างต่อเนื่อง โดยเจ็ทสตาร์จะรับมอบเครื่องบินโบอิ้ง บี787 ลำแรกในปลายเดือนนี้มร.ค็อคซการ์ กล่าวปิดท้าย
      
       นอกจากนี้ เจ็ทสตาร์ยังเปิดเส้นทางบินระหว่างประเทศจากอะดิเลดสู่อ็อคแลนด์ใหม่* โดยจะให้บริการ 3 เที่ยวต่อสัปดาห์ ทุกวันจันทร์ พุธ และเสาร์ด้วยเครื่องบินแอร์บัส เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2556
      
       * ขึ้นอยู่กับการอนุมัติตามระเบียบข้อบังคับทางการบินและของรัฐบาลในแต่ละประเทศนั้นๆ
       ** เพื่อต้อนรับการเปิดบริการเที่ยวบินดังกล่าว เจ็ทสตาร์ได้เปิดรับจองที่นั่งโดยสารในเที่ยวบินเมลเบิร์น - ภูเก็ตผ่านเว็บ Jetstar.com ในราคาพิเศษสุดเริ่มต้นที่ 199 เหรียญออสเตรเลีย หรือไม่เกิน 6,000 บาทต่อเที่ยว
       ** อัตราค่าโดยสารดังกล่าวจะต้องใช้เดินทางระหว่างวันที่ 4 กุมภาพันธ์ - 29 มีนาคม 2557 และวันที่ 6 พฤษภาคม - 21 มิถุนายน 2556


ข้อมูลจาก.. ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ดีเดย์ 1 ก.ย.นี้ดันท่าเรือองค์การสะพานปลาภูเก็ตเป็น “ทูน่า ฮับ” คู่การท่องเที่ยว



รมช.เกษตรฯ ลงพื้นที่ภูเก็ต ตรวจความพร้อมแผนจัดตั้ง ทูน่า ฮับรองรับ AEC ดีเดย์ 1 กันยายนนี้ เริ่มพัฒนาพื้นที่ให้เป็นศูนย์กลางการขนถ่ายสัตว์น้ำครบวงจร ก่อนที่จะส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวควบคู่กันไป

          เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 29 ส.ค.56 นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะ ร่วมตรวจเยี่ยมท่าเทียบเรือประมงภูเก็ต องค์การสะพานปลา ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต พร้อมฟังบรรยายสรุปแผนการดำเนินการจัดตั้ง ทูน่า ฮับที่ท่าเทียบเรือประมงภูเก็ต โดยนายประมวล รักษ์ใจ รองผู้อำนวยการองค์การสะพานปลา เป็นผู้บรรยายสรุป และมี นายสมเกียรติ สังข์ขาวสุทธิรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พ.ต.อ.เสน่ห์ ยาวิละ รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต นายสมเพียร ชโลธร หัวหน้าสำนักงานท่าเทียบเรือประมงภูเก็ต และผู้เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับ
      
       นายประมวล รักษ์ใจ รองผู้อำนวยการองค์การสะพานปลา กล่าวถึงแผนการจัดตั้ง ทูน่า ฮับ ที่ท่าเทียบเรือประมงภูเก็ต มีเป้าหมายเพื่อให้เป็นศูนย์กลางการขนถ่ายปลาทูน่าสำหรับกองเรือประมงเบ็ดราว การขนส่งปลาทูน่าแช่แข็ง และการแปรรูปปลาทูน่าของภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียฝั่งตะวันออก ว่า สำหรับท่าเทียบเรือประมงภูเก็ต องค์การสะพานปลา ได้เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2551 และปัจจุบัน เป็นท่าเทียบเรือประมงที่ได้รับการรับรองด้านสุขอนามัยท่าเทียบเรือประมง จากกรมประมง มีเรือประมงในประเทศที่เข้ามาขนถ่ายสัตว์น้ำ ประกอบด้วย เรือประมงอวนล้อมจับ เรือประมงอวนลาก เรือประมงอวนลากปลากะตัก และไดหมึก รวมร้อยละ 80 ส่วนอีกร้อยละ 20 เป็นเรือประมงเบ็ดราวจากต่างประเทศ สำหรับสัตว์น้ำที่ขนถ่ายผ่านท่าเทียบเรือประมงภูเก็ต ประกอบด้วย ปลาทู ปลาลัง ปลาทูแขก ปลาเบญจพรรณอื่นๆ ปลาทูน่า กุ้ง ปลาหมึก ปลากะตัก ในปี 2555 มีปริมาณสัตว์น้ำรวม 29,581 ตัน มูลค่า 1,828,757,320 บาท
          ท่าเทียบเรือประมงภูเก็ต มีศักยภาพในการพัฒนา และจัดตั้งเป็น ทูน่า ฮับ ในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียฝั่งตะวันออกได้ เนื่องจากมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ประกอบด้วย ท่าเทียบเรือประมงความยาว 500 เมตร สำหรับเรือประมงเบ็ดราวทูน่า ทั้งเรือประมงเบ็ดราวทู่น่าแช่เย็น และเรือประมงเบ็ดราวทูน่าแช่แข็ง มีห้องเย็นขนาด 600 ตัน พร้อมโรงผลิตน้ำแข็งวันละ 1,600 ซอง อู่ซ่อมแซมเรือประมงที่ได้มาตรฐาน ตลอดจนพื้นที่สำหรับจัดตั้งเป็นโรงงานแปรรูปปลาทูน่า ซึ่งมีความพร้อมในการพัฒนาเป็นเขตส่งเสริมการส่งออกได้
          โดยในการดำเนินงานเพื่อพัฒนา และจัดตั้ง ทูน่า ฮับ ที่ท่าเทียบเรือประมงภูเก็ต ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 เป็นต้นไป โดยดำเนินการในเรื่องการขุดลอกบริเวณด้านหน้าท่าเทียบเรือประมง ความลึกประมาณ 4 เมตร โดยได้รับงบประมาณ ประจำปี 2557 จำนวน 8,280,000 บาท บริหารจัดการพื้นที่ท่าเทียบเรือประมง โดยจัดแบ่งพื้นที่ให้เป็นเขตพื้นที่ขนถ่ายปลาทูน่าแยกจากพื้นที่ขนถ่ายสัตว์น้ำทั่วไป จัดบุคลากรควบคุมดูแลการเข้าจอดเทียบท่าและการขนถ่ายปลาทูน่า จัดเตรียมพื้นที่ประมาณ 50 ไร่ เพื่อพัฒนาเป็นเขตก่อสร้างโรงงานแปรรูปปลาทูน่า โดยให้เอกชนเข้ามาดำเนินการบริหารจัดการโรงงาน และการก่อสร้างอาคารโรงประมูลปลาทูน่าบริเวณท่าเทียบเรือประมง พร้อมติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านการผลิต การตลาด ปลาทูน่า โดยการนำเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณปี 2558
           นอกจากนี้ จะมีการประสานกรมประมงในการดำเนินการเรื่องของการจัดตั้งระบบ Port State Measure ขึ้นที่ท่าเทียบเรือฯ โดยดำเนินการร่วมกับองค์การอาหารเพื่อเกษตรแห่งสหประชาชาติ กรมประมง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งกองเรือประมงเบ็ดราวปลาทูน่าที่เป็นเรือประมงสัญชาติไทย โดยการสนับสนุนให้ภาคเอกชนนำเข้า หรือแปลงสัญชาติเรือจากต่างประเทศเป็นเรือสัญชาติไทย และจะมีการบูรณาการหน่วยงานของกรมประมงที่เกี่ยวข้องในการนำเข้า และส่งออกปลาทูน่าที่จังหวัดภูเก็ต รวมถึงจะมีการประสานหน่วยงานต่างๆ ในการจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายศุลกากร และการจัดตั้งเขตปลอดอากร
          ในการดำเนินงานจัดตั้งเป็น ทูน่า ฮับ ในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียฝั่งตะวันออก นั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในการพัฒนาการทำประมงปลาทูน่า และการตลาดปลาทูน่าในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียฝั่งตะวันออก อีกทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมในการรองรับการเปิดประตูสู่ AEC ของภูมิภาค เป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และเป็นการผลักดันให้จังหวัดภูเก็ตเป็นศูนย์กลางด้านการประมงของภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย
           ขณะที่ นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังการตรวจเยี่ยม ว่า ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องเร่งบูรณาการ และส่งเสริมศักยภาพในด้านต่างๆ ในการผลักดันให้ท่าเทียบเรือดังกล่าวเป็นศูนย์กลาง ทูน่า ฮับ ของประเทศ รองรับการเปิดประชาคมอาเซียนที่จะถึง โดยเบื้องต้น ต้องพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการขนถ่ายสัตว์น้ำที่ครบวงจร ก่อนที่จะส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวควบคู่ไป ซึ่งท่าเทียบเรือภูเก็ตจะเป็นแห่งแรกของประเทศในการผลักดันเรื่องดังกล่าว ส่วนท่าเทียบเรือประมง และองค์การสะพานปลาในจังหวัดต่างๆ ก็มีแผนที่จะผลักดันให้เป็นแหล่งซีฟูด ฮับ ในระดับภูมิภาค รวมทั้งจะต่อยอดจนถึงระดับสากลต่อไป


ข้อมูลจาก.. ASTV Manager ภาคใต้

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ภูเก็ตเร่งจัดระเบียบชายหาดป่าตอง กมลา รองรับการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน



            เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 16 ก.ค. 56 นายจำเริญ  ทิพญพงศ์ธาดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการประชุมคณะทำงานจัดระเบียบชายหาด อ. กะทู้ โดยมีนายศิริพงศ์  หลีประสิทธิ์ ปลัดอำเภอ หัวหน้าฝ่ายความมั่นคง อ. กะทู้ พ.ต.อ. มล. พัฒนจักร  จักรพันธุ์ ผกก.สภ.ภมลา พร้อมส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
          สำหรับวาระการประชุมที่สำคัญ มีการติดตามผลการปฏิบัติงานการจัดระเบียบชายหาดป่าตอง หาดหาดไตรตรัง หาดกมลา หาดแหลมสิงห์ และติดตามการจัดระเบียบกลุ่มรถเช่า กลุ่มรถตุ๊ก ๆ บริเวณหน้าหาด
          นายจำเริญ กล่าวว่า การจัดระเบียบชายหาดในพื้นที่อำเภอกะทู้ เป็นไปตามนโยบายของจังหวัดที่ต้องการให้ชายหาดมีความสะอาด สวยงาม มีระเบียบ ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว ซึ่งจากการประชุมครั้งนี้ได้มอบให้เทศบาลเมืองป่าตอง องค์การบริหารส่วนตำบลกมลา ร่วมกับอำเภอกะทู้ไปสำรวจผู้ประกอบการชายหาดมีกี่กลุ่ม กลุ่มอะไรบ้าง อาทิเช่น กลุ่มเตียงผ้าใบ กลุ่มหมอนวก กลุ่มเจ็ตสกี กลุ่มเรือลากร่ม เป็นต้น พร้อมส่งผลสำรวจมายังจังหวัดภายใน 30 วัน เพื่อที่จะออกแผนปฏิบัติร่วมกัน ในส่วนการสร้างอาคารบริเวณหน้าหาดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแจ้งความดำเนินคดีได้เลย อย่างไรก็ตามการจัดระเบียบชายหาดจังหวัดได้ดำเนินการตามหน้าที่ไม่มีการรังแกใคร ให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ที่สำคัญการดำเนินการครั้งนี้เพื่อต้องการพัฒนาศักยภาพของการท่องเที่ยวภูเก็ตให้มีความยั่งยืน


วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ทอท.คาดผู้โดยสารทั้งปี56 แตะ 85 ล้านคน ลุยอัดงบพัฒนาดอนเมือง-ภูเก็ตผุดรันเวย์สำรองสุวรรณภูมิ


ทอท.ตั้งเป้าผู้โดยสารปี 56 ทั้ง 6 สนามบินอยู่ที่ 85 ล้านคนเพิ่มจากปีก่อน 19% “ศิธารับสนามบินแออัดขยายไม่ทันกับการเติบโตของเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นเร็วมาก สั่งเร่งขยายภูเก็ตพร้อมอนุมัติ 3 พันลบ.ปรับปรุบงดอนเมืองเฟสแรก ทุ่มหมื่นล.ผุดรันเวย์สำรองที่สุวรรณภูมิ คาดผลประกอบการปี 56 ดี หลังผล 6 เดือนฟันกำไรสุทธิ 7 พันล.สูงกว่าปี 55 ทั้งปี
      
       น.ต.ศิธา ทิวารี ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท.เปิดเผยว่า สถิติจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง ประกอบด้วย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ / ท่าอากาศยานดอนเมือง/ ท่าอากาศยานภูเก็ต / ท่าอากศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ในรอบ 8 เดือนปี 2556 (ต.ค.55-พ.ค. 56) รวม 57.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 21.4% มีปริมาณเที่ยวบิน 370,520 เที่ยวบินเพิ่มขึ้น 15.9%โดยคาดว่าสิ้นปีงบประมาณ 56 (ก.ย. 56 ) จำนวนผู้โดยสารจะอยู่ที่ 85 ล้านคน เพิ่มจากปี 55 ประมาณ 13.5 ล้านคนหรือ 19% ส่วนเที่ยวบินจะมีกว่า 550,000 เที่ยวบิน เพิ่มจากปี 55 ประมาณ 70,00 เที่ยวบินหรือ 14.55 คาดว่าจะทำให้ผลประกอบการปี 56 ดีกว่าปีก่อน โดยในช่วง 6 เดือน(ต.ค.55-มี.ค. 56 ) มีรายได้ 18,406.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 6 เดือนแรกปี 55 ประมาณ 22.94% มีกำไรสุทธิ 7,941.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.69%
      
       ทั้งนี้ทอท.มีแผนพัฒนาขยายขีดความสามารถท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ,ดอนเมือง,ภูเก็ต เพื่อรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารที่มีการเติบโตเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาต้องปฏิเสธเที่ยวบินที่ต้องการเดินทางเข้าประเทศไทยเพราะสนามบินรับไม่ไหว เช่น ภูเก็ตมีเที่ยวบินอีก 30 % ที่เข้ามาไม่ได้ คิดเป็นผู้โดยสารประมาณ 3 ล้านคนต่อปี เป็นการสูญเสียโอกาส ซึ่งผนขยายท่าอากาศยานภูเก็ต มูลค่า 5,146 ล้านบาท จะเพิ่มขีดการรองรับผู้โดยสารจาก 6.5 ล้านคนต่อปีเป็น 12.5 ล้านคนต่อปีแต่ขณะนี้งานล่าช้ากว่าแผน 100 วัน ดังนั้นจะเร่งรัดผู้รับเหมาคือบริษัทซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ปรับแผนก่อสร้าง และให้สลับเนื้องานเร่งก่อสร้าง 5 หลุมจอดให้เสร็จใช้งานได้ก่อนภายในสิ้นปีนี้ พร้อมกันนี้ทอท.จะลงทุนอีก 100 ล้านบาท ก่อสร้างเทอร์มินอลชั่วคราวให้เสร็จในสิ้นปีเช่นกัน ซึ่งจะทำให้การรองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก 3 ล้านคนต่อปีซึ่งเป็นลงทุนที่คุ้มค่า เพราะคาดว่าจะทำให้มีกำไรเพิ่มอีก 30 จาก% ปัจจุบันมีกำไร 1,800 ล้านบาท โดยไม่ต้องรอขยายภูเก็ตเสร็จทั้งโครงการ
      
       นอกจากนี้ที่ประชุมบอร์ดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายนยังได้อนุมัติวงเงินลงทุนโครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองเต็มรูปแบบ ( Full Service) ระยะแรก 3,000 ล้านบาทเพื่อปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร อาคาร2, งานซ่อมแซมอาคาร South Corridor, งานซ่อมแซมอาคารเทียบเครื่องบิน หมายเลข 5, งานซ่อมแซมอาคารจอดรถ 7 ชั้น กำหนดแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2557 เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารอีก 11.5 ล้านคนต่อปี ส่วนอาคารผู้โดยสาร อาคาร 1 ที่เปิดใช้งานอยู่รับได้ 18.5 ล้านคนต่อปี รวมเป็น 30 ล้านคนต่อปี พร้อมกันนี้ได้ให้ทำแผนรายละเอียดการพัฒนาระยะ 2 วงเงินลงทุนประมาณ7,000 ล้านบาท เสนอที่ประชุมบอร์ดเดือนกรกฎาคม โดยจะมีการปรับปรุงทางวิ่ง ขยายไหล่ทางให้รองรับเครื่องบินแอร์บัส A 380 , ขยายหลุมจอด A 380 เพิ่มอีก 3 หลุมจอดรวมของเดิม 2 หลุมจอดเป็น 5 หลุมจอด และปรับปรุงอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ ซึ่งจะรองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก 9 ล้านคนต่อปี
      
       นางสุภาภรณ์ บุรพกุศลศรี รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานแผนงานและทอท.กล่าวว่า กำไรสุทธิ 6เดือนแรกปี 2556 ที่ 7,941.15 ล้านบาท มากกว่ากำไรสุทธิของทั้งปี 2555 ที่มีประมาณ 6,500 ล้านบาท และแนวโน้มช่วงครึ่งหลังของปี 2556 ยังมั่นใจว่าจะเติบโตได้ดีกว่าปีก่อน แม้ว่าจะเป็นช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว (Low Season) เนื่องจากที่ผ่านมาจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงครึ่งปีหลังแต่ปีนี้ได้ดำเนินการแปลงสกุลหนี้เงินกู้ (สว็อป) จากเยนเป็นบาท จำนวน 10,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นหนี้ก้อนใหญ่สุด สามารถลดภาระหนี้ลงได้ 2,900 ล้านบาท โดยเหลือหนี้ประมาณ 7,100 ล้านบาท เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนจึงไม่น่ากังวล
      
       ส่วนเงินลงทุนเพื่อขยายขีดความสามารถนั้น บอร์ดให้พิจารณาข้อดี-ข้อเสีย ใน 3 แนวทาง คือ กู้เงิน, ออกพันธบัตร,ตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (อินฟราสตรักเจอร์ ฟันด์) โดยทอท.มีความจำเป็นต้องลงทุนขยายสุวรรณภูมิเฟส 2 ประมาณ 62,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีเงินสดอยู่ในมือ 38,000ล้านบาทประมาณการณ์รายได้ของปีนี้และปีหน้า คาดว่าจะเริ่มเงินและขาดเงินในมือในปี 2559-2560 ประมาณ 17,000-20,000 ล้านบาท ซึ่งยังมีเวลาอีก1 ปี ในการประเมินภาวะตลาดก่อนตัดสินใจ นอกจากนี้คาดว่าปลายปีนี้ ทอท.จะสามารถปรับขึ้นค่าธรรมเนียมการใช้สนามบิน (PSC) ในส่วนของผู้โดยสารระหว่างประเทศจาก 700 บาทเป็น 800 บาทต่อคน ทำให้มีกำไรเพิ่มอีก 1,800 ล้านบาท
      
       ส่วนการก่อสร้างทางวิ่ง (รันเวย์) สำรองที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วงเงินประมาณ10,000 ล้านบาท เพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินก่อนการก่อสร้างรันเวย์ที่ 3 จะแล้วเสร็จ คาดว่าจะใช้การกู้เงินมาดำเนินการ
ข้อมูลจาก.. ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ทูตออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย เยี่ยมคารวะผู้ว่าฯ ภูเก็ต ฝากดูแลเรื่องความปลอดภัย-สานต่อเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกัน


 
                เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 18 มิ.ย.56  ที่ห้องรับรองศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายโจนาธาน เคนนา (Mr.Jonathan Kenna) อัครราชทูต ประเทศออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะนายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ในโอกาสเดินทางมารับตำแหน่ง อัครราชทูตประจำสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย ประเทศไทย
                นายไมตรี กล่าวภายหลังการเข้าพบของอัครราชทูต ประเทศออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย ในครั้งนี้ ว่า สำหรับนักท่องเที่ยวออสเตรเลีย เดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต เป็นอันดับ 1 ใกล้เคียงกับนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน โดยนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียที่เดินทางเข้ามาภูเก็ต นอกจะมาท่องเที่ยวแล้ว ยังมาใช้บริการทางการแพทย์ โดยเฉพาะเรื่องของทันตกรรม เพราะจังหวัดภูเก็ต มีค่ารักษาที่ถูกกว่าที่ประเทศออสเตรเลีย 
                และการเข้าพบของอัครราชทูต ประเทศออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย ในครั้งนี้ ได้แลกเปลี่ยนสภาพปัญหาการท่องเที่ยว ซึ่งตนก็ได้เรียนให้ทราบถึงปัญหาที่กระทบต่อการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต คือ เรื่องของการคมนาคมขนส่ง ซึ่งมีการจราจรหนาแน่น ทางภูเก็ตกำลังหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้อยู่ ขณะที่ท่านอัครราชทูต ก็บอกว่า เมืองใหญ่ๆ ของประเทศออสเตรเลียหลายแห่งก็มีปัญหาเช่นเดียวกันกับของภูเก็ต ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องการจราจร ปัญหาเรื่องการดูแลนักท่องเที่ยว ก็จะเป็นปัญหาหลักๆ เช่นเดียวกัน
                โดยในส่วนการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวออสเตรเลีย ตนก็รับปากว่าจะดูแลให้ดีที่สุด ถ้านักท่องเที่ยวมีปัญหาที่ไม่ได้รับความสะดวก หรือได้รับการบริการที่ไม่ดี ให้ติดต่อสำนักงานผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตได้โดยตรง เรื่องต่างๆ ก็จะไปตามหน่วยราชการต่างๆ ถ้าเกี่ยวกับปัญหาที่รุนแรง                ขณะที่ นายโจนาธาน เคนนา อัครราชทูตประเทศออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย กล่าวว่า การมาเยือนจังหวัดภูเก็ตในครั้งนี้ เพื่อมาเยี่ยมคารวะผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และฝากให้ทางจังหวัดดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวออสเตรเลียมาเที่ยวจังหวัดภูเก็ตเป็นอันดับ 1 ดังนั้น จึงอยากฝากให้ทางจังหวัดดูแลในเรื่องของความปลอดภัย และสานงานต่อในเรื่องของความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว วุฒิสภา จัดเสวนา เรื่อง “การจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตที่ยั่งยืน”


วันที่ 13 มิ.ย.56  คณะกรรมาธิการท่องเที่ยว วุฒิสภา และคณะอนุกรรมาธิการศึกษาเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ด้านการท่องเที่ยวและปัญหาด้านความปลอดภัย ภาพลักษณ์ และปัญหาการท่องเที่ยว ได้จัดเสวนา เรื่อง การจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตที่ยั่งยืนขึ้นที่โรงแรมกะตะบีช รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดภูเก็ต โดยได้รับเกียรติจากนายสมศักดิ์ ภูรีศรีศักดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา มอบนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตและกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันและแผนบูรณาการการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่เสื่อมโทรม ระหว่างภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน และมี นางธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย ประธานคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว วุฒิสภา เป็นประธานในพิธีเปิดการเสวนาฯ  โดยมีนายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต คณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว วุฒิสภา ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และภาคประชาชน ทั้งจากส่วนกลาง และในจังหวัดภูเก็ต รวมถึงสื่อมวลชน เข้าร่วมจำนวนมาก
พล.ต.อ.พิชิต ควรเดชะคุปต์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ด้านการท่องเที่ยว และปัญหาด้านความปลอดภัย ภาพลักษณ์ และปัญหาของการท่องเที่ยว กล่าวถึงการจัดเสวนาฯ ดังกล่าวว่า ด้วยภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม จึงมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ นิยมเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถก่อให้เกิดการสร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศ ได้อย่างมหาศาล ประกอบกับในปัจจุบันพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของจังหวัดได้มีการพัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็ว อันนำไปสู่การเกิดปัญหาต่างๆ ในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลตามมาเป็นจำนวนมาก อาทิการก่อสร้างสิ่งรุกล้ำลำน้ำบริเวณชายหาด การตั้งร่ม เตียงผ้าใบที่ไม่เป็นระเบียบ กลุ่มผู้ค้าหาบเร่ที่สร้างความรำคาญในการพักผ่อนของนักท่องเที่ยว การปล่อยน้ำเสียลงสู่ทะเลโดยไม่ผ่านการบำบัด การเอาเปรียบนักท่องเที่ยว เมื่อซื้อสินค้าและบริการ รถรับจ้างสาธารณะจอดไม่เป็นระเบียบ ส่งผลให้ทัศนียภาพบริเวณแหล่งท่องเที่ยวไม่สวยงามตา และส่งผลต่อภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศตามมา อันอาจทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความไม่ประทับใจและไม่ต้องการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตอีก             
คณะกรรมาธิการท่องเที่ยว วุฒิสภา จึงกำหนดจัดโครงการเสวนา เรื่อง การจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตที่ยั่งยืนขึ้น เพื่อระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่มีความเกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และนำไปสู่การฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของจังหวัดภูเก็ต ให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและมีความสวยงาม เพื่อสามารถรองรับการจัดกิจกรรมสำคัญในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว ในอันที่จะเป็นการดึงดูดให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และเป็นการส่งเสริมให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตเกิดความเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
ส่วนนางธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย ประธานคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว วุฒิสภา กล่าวเสริมว่า ทางคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว วุฒิสภา ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการดำเนินงานดังกล่าว โดยมุ่งเน้นให้ทุกภาคส่วนที่มีความเกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชนและท้องถิ่นของจังหวัดภูเก็ต ร่วมมือร่วมใจกันดำเนินการ อันจะเป็นการสนับสนุนให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตเกิดความเติบโตอย่างยั่งยืน จังได้จัดการเสวนา ดังกล่าวขึ้นเพื่อระดมความคิดเห็นจากจากทุกฝ่ายเกี่ยวข้องเกี่ยวกับปัญหา อุปสรรค รวมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อสามารถจัดระเบียบพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป และนำไปสู่การสร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวเข้าสู่จังหวัดภูเก็ต ได้อย่างสอดคล้องกับนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ที่จะสร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศ เป็นจำนวน 2 ล้านล้านบาท ในปี พ.ศ.2558
ขณะที่นายสมศักดิ์ ภูรีศรีศักดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ในเรื่องนโยบายการท่องเที่ยวทางรัฐบาลได้มุ่งในเรื่องของการยกระดับการท่องเที่ยว ในเรื่องคุณภาพของนักท่องเที่ยว การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ให้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป้าหมายของรัฐบาล โดยมองว่าประเทศไทยในบางพื้นที่ควรมุ่งหมายกลุ่มนักท่องเที่ยวในระดับ ไฮเอ็นเพื่อที่จะให้มีรายได้เข้าสู่ประเทศได้มากขึ้น พร้อมทั้งความชื่นชอบของนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ ที่รัฐบาลกำหนดไว้ ซึ่งในส่วนของจังหวัดภูเก็ตก็เป็นจังหวัดยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวได้เข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้รัฐบาลก็พยายามมุ่งหมายที่จะพัฒนาพื้นที่ให้มีศักยภาพที่สูงขึ้น 
สำหรับจังหวัดภูเก็ต ปัญหาด้านการท่องเที่ยว จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว และบริการทางการท่องเที่ยวอย่างก้าวกระโดด ซึ่งในปี 2555 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าภูเก็ต 7 ล้านคนเศษ และเป็นนักท่องเที่ยวคนไทยอีก 3 ล้านคนเศษ รวมแล้วประมาณ 10 ล้านคนเศษ และมีรายได้เข้าภูเก็ต 3 หมื่นกว่าล้านบาทต่อปีจากนักท่องเที่ยวคนไทย และเกือบ 2 แสนล้านจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ มีจำนวนเที่ยวบินสู่ภูเก็ต บินตรงในประเทศ 305 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ระหว่างประเทศ 336 เที่ยวบินต่อสัปดาห์  
จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวดังกล่าว ก่อให้เกิดปัญหาที่เกี่ยวข้องหลายประการ เช่น ความไม่เพียงพอของสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการท่องเที่ยวต่างๆ เช่น สาธารณูปโภค และสาธารณูปการต่างๆ ปัญหาจราจรคับคั่งในพื้นที่เมือง และชายหาด ปัญหาผังเมือง และการพัฒนาพื้นที่/กิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างไร้รูปแบบและทิศทาง ปัญหาแหล่งท่องเที่ยวเสื่อมโทรม ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ชายหาดและพื้นที่สาธารณะประโยชน์ ปัญหาขยะและน้ำเสีย ปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว ปัญหาการหลอกลวง การเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวในรูปแบบต่างๆ ปัญหาความไม่เพียงพอของมัคคุเทศก์ ปัญหาการบูรณาการ และเอกภาพในการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐทั้งจากส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน เป็นต้น 
ดังนั้นประเด็นสำคัญเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการในปี 2556 เพื่อขับเคลื่อนสู่เป้าหมายสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 2 ล้านล้านบาท ในปี 2558 จะต้องเน้นพัฒนาและยกระดับคุณภาพ แหล่งท่องเที่ยว พัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว แก้ปัญหาด้านความปลอดภัย การเอาเปรียบนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างความเชื่อมั่น เพื่อความรวดเร็วด้านการอำนวยความสะดวก ของ ตม.และต้องสร้างมาตรฐานด้านสินค้าและบริการให้เกิดขึ้น เป็นต้น อย่างไรก็ตามทางกระทรวงมีแผนที่จะผลักดันการแก้ปัญหาต่างๆ ให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติ

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

กรมอุทยานแห่งชาติฯประกาศปิดเกาะสิมิลัน เกาะสุรินทร์ ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค. - 31 ต.ค. 56‏


    เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 56 นายศุรายุทธ ปาโส ผช.หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน กล่าวว่า ทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้มีประกาศปิดฤดูกาลท่องเที่ยวและพักแรมในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน และหมู่เกาะสุรินทร์ ของจังหวัดพังงา ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 56 จนถึง 31 ตุลาคม 56 เพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟูตัวเองให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม และตอนนี้ก็ย่างเข้าสู่ฤดูมรสุมของทะเลอันดามัน ตั้งแต่กลางเดือน  พ.ค.- ปลายเดือน ต.ค.ของทุกปี จะมีมรสุมฝนตกและคลื่นลมแรง ทำให้เกิดความเสี่ยงในการออกทะเล สำหรับรายได้จากการท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันในปีนี้ มีรายได้ ประมาณ22.6 ล้านบาท มีรายได้มากกว่าปีที่ผ่านมาซึ่งเก็บได้ประมาณ 20 ล้านบาท ในหมู่เกาะสิมิลันมีแหล่งท่องเที่ยวทั้งหมด 11 เกาะ อย่างไรก็ตามจากที่อุทยานได้ประกาศปิดเกาะแล้วนั้น ถ้าพบว่ามีเรือทัวร์นักท่องเที่ยวยังลักลอบเข้าไปท่องเที่ยว ทางอุทยานหมู่เกาะสิมิลัน ได้ใช้มาตรการ พรบ.2504ตามมาตรา 18 จะมีโทษตั้งแต่จำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท จึงฝากถึงผู้ประกอบการเรือนำเที่ยวต่างๆขอให้เครารพกฎของอุทยานฯและให้ทำตามระเบียบอย่างถูกต้องเพื่อความปลอดภัย
  นางเฉลิมศรี แพใหญ่ ผจก.ทับละมุ อันดามันทัวร์ กล่าวว่า ปีนี้มีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการมากขึ้นแต่กำไรกลับน้อยลง เหตุเพราะ ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ต้นทุนต่างๆก็เพิ่มสูงขึ้น  มีผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นทำให้มีการตัดราคาขายกัน และมีผู้ประกอบการบางรายทำทัวร์ที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาตัดราคาขาย คาดว่าในฤดูกาลท่องเที่ยวที่จะเปิดใหม่ในเดือน พฤศจิกายนนี้ คงจะมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงอีก โดยตนเองอยากให้ผู้ประกอบการแข่งขันกันในเรื่องของการให้บริการนักท่องเที่ยวอย่างมีคุณภาพ และมีความปลอดภัยที่สูงสุด
  ด้าน  นส.ลัดดาวัลย์ ช่วยชาติ หัวหน้าศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยวจังหวัดพังงา เปิดเผยว่า นักท่องเที่ยวยังคงสามารถเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลในจังหวัดพังงา ได้อีกมากมาย เช่น อ่าวพังงา เกาะไข่ เกาะยาว ชายหาดทะเลท้ายเหมือง ชายหาดเขาหลัก เกาะคอเขา เป็นต้น ส่วนแหล่งท่องเที่ยวบนบกยังมีการท่องเที่ยวแบบผจญภัยและน้ำตกต่างๆ  และในช่วง กรีนซีซั่นนี้  ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยวจังหวัดพังงา ได้ร่วมกับสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดพังงา และผู้ประกอบการ ได้จัดห้องพักโรงแรมชั้น 1 ริมชายทะเล  ด้วยโปรโมชั่น นอนติดดาว ราคาติดดิน  สำหรับท่านที่ต้องการที่จะเดินทางมาชมความงดงามของของจังหวัดพังงา สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
รายงานโดย..ทีมงานพลังชนภาคใต้